Saturday, December 5, 2009

Subaru Hybrid Tourer

เผยโฉมเต็มๆ Subaru Hybrid Tourer รถแนวคิดระบบไฮบริด 4 ที่นั่ง ล้ำสมัยด้วยระบบ EyeSight +

หลังจากที่วันก่อน AutoSpinn ได้นำภาพ Teaser ของรถแนวคิด Subaru Hybrid Tourer มาให้ชมไปแล้ว วันนี้ Subaru ได้ปล่อยภาพรถไฮบริดรุ่นนี้ออกมาให้เห็นกันชัดๆก่อนที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในงานมอเตอร์โชว์ที่ญี่ปุ่นในอีก 1-2 สัปดาห์นับจากนี้ Hybrid Tourer ถือว่าเป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริดรุ่นแรกของ Subaru (หากมีการผลิตในเชิงพาณิชย์จริง) โดยใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเบนซิน ขนาด 2.0 ลิตร สูบนอน Direct Injection ที่มาพร้อมกับระบบ Symmetrical All-Wheel-Drive ลิขสิทธิ์เฉพาะของบริษัทฯ และมอเตอร์์ไฟฟ้่าที่ติดตั้งที่เพลาแต่ละด้าน พร้อมสิ่งที่ขาดไม่ได้ซึ่งก็คือ ชุดแบตเตอรี่ลิเธี่ยมอิออนประสิทธิภาพสูง




กำลังของรถจะมาจากเครื่องยนต์ Boxer ที่เชื่อมต่อกับเกียร์แบบแปรผันต่อเนื่อง Lineatronic CVT เจนเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด โดยในช่วงที่รถเริ่มมีการออกตัวหรืออยู่ในระดับความเร็วที่ต่ำ มอเตอร์ไฟฟ้าที่ติดตั้งอยู่ด้านหลังขนาด 20 กิโลวัตต์(20 แรงม้า)จะขับเคลื่อนรถด้วยตัวของมันเอง จนกระทั่งรถเริ่มมีความเร่ง มอเตอร์ก็จะทำงานเป็นตัวส่งกำลังเสริมให้เครื่องยนต์เบนซินแทน


สำหรับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 10 กิโลวัตต์(13 แรงม้า) ที่ติดตั้งบริเวณเพลาหน้า โดยปกติจะทำหน้าที่เป็นเครื่องกำเนิดพลังงานเพื่อทำการชาร์จไฟให้ชุดแบตเตอรี่ลิเธี่ยมอิออน แต่จะเป็นตัวช่วยส่งกำลังเสริมให้ในกรณีที่รถมีการขึ้นทางลาดชัน

คุณสมบัติพิเศษที่น่าสนใจของรถไฮบริด 4 ที่นั่งอีกอย่างหนึ่งก็คือ ระบบช่วยการขับขี่ EyeSight + ที่ใช้เทคโนโลยีกล้องแบบสเตอริโอในการตรวจจับหาสิ่งกีดขวางที่อยู่ในเส้นทางที่รถแล่นผ่าน โดยระบบจะทำการแนะนำหรือแจ้งเตือนให้ผู้ขับขี่ทำการควบคุมรถให้เหมาะสมเพื่อหลักเลี่ยงการชนกับสิ่งกีดขวางนั้น

Subaru Hybrid Tourer มีมิติกว้าง ยาว และสูงคือ 4,630 x 1,890 x 1,420 มิลลิเมตรครับ





จะเห็นได้ว่าการออกแบบนั้นจุดเด่นมุ่งเน้นไปที่ห้องโดยสารเสียมากกว่าภายนอก ซึ่งก็เลยส่งผลให้ห้องโดยสารออกมาเรียบหรูดูดีได้ซะขนาดนี้ และดูจากอุปกรณ์ต่างๆภายในแล้วแจ่มมากๆครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก autospinn.com

Suzuki Swift Plug-In Hybrid



Suzuki อวดโฉม Swift Plug-In Hybrid รถไฮบริดเล็ก 5 ที่นั่ง ในงานมอเตอร์โชว์ที่โตเกียว

Suzuki ค่ายรถยนต์น้องเล็กขอใช้โอกาสเปิดตัวรถแนวคิด Suzuki Swift Plug-In Hybrid ในงาน Tokyo Motor Show ที่ญี่ปุ่น ซึ่ง Swift ระบบไฮบริดนี้มีระบบขับเคลื่อนเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 55 กิโลวัตต์ ชุดแบตเตอรี่ลิเธี่ยมอิออนขนาด 2.66 กิโลวัตต์ชั่วโมง และเครื่องยนต์ขนาดเล็ก ขนาด 658 ซีซี 40 กิโลวัตต์ โดย Swift Plug-In Hybrid จะสามารถเคลื่อนที่ไปได้ 20 กิโลเมตรโดยใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว และเป็นความตั้งใจของ Suzuki ที่ต้องการออกแบบรถรุ่นนี้ให้ใช้ในระยะทางสั้นๆหรือในตัวเมือง และถ้าแบตเตอรี่เริ่มอ่อนแรง เครื่องยนต์ขนาดเล็กที่มีอยู่ก็จะทำการชาร์จไฟให้กับชุดแบตเตอรี่ดังกล่าว เช่นเดียวกับรถ Plug-In Hybrid อื่นๆที่รถสามารถทำการชาร์จไฟจากไฟบ้านทั่วไปได้




ด้วยมิติความยาว กว้างและสูง 3,744, 1,690 และ 1,510 มิลลิเมตร ตามลำดับ Swift สามารถจุผู้โดยสารได้ 5 คนครับ




รถยนต์ค่ายนี้อาจจะเป็นค่ายเล็กๆ ค่ายนึงในญี่ปุ่นและผลงานที่ออกมาแต่ละปีก็ไม่ค่อยจะหวือหวาซักเท่าไหร่นัก แต่ถ้าสังเกตุให้ดีจะเห็นได้ว่าค่ายนี้มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ขอบคุณบทความจาก autospinn.com

Mitsubishi Crossover CX

เผยโฉมภาพสเก็ทช์ Mitsubishi Crossover ขนาดเล็ก เวอร์ชั่นผลิตของ Concept cX

หลังจากที่ Mitsubishi ได้เคยอวดโฉมรถแนวคิดของ crossover ขนาดเล็ก ที่ชื่อ Concept-cX ในงาน Frankfurt Motor Show เมื่อปี 2007 มาแล้ว วันนี้ Mitsubishi ได้เผยโฉมภาพสเก็ทช์เวอร์ชั่นรุ่นผลิตซึ่งมีอยู่ภาพเดียวของ Concept-cX ดังกล่าว โดยมีแผนจำหน่ายรถที่ยังไม่เผยตัวรุ่นนี้ในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า ตามด้วยตลาดอื่นๆในช่วงฤดูร้อนปีเดียวกัน ถือว่าเป็นการใช้ global platform สำหรับรถยนต์ขนาดกลางของ Mitsubishi ที่ใช้กับรุ่น Outlander และ Lancer ด้วยเช่นกัน




รถ crossover รุ่นนี้มีคู่แข่งโดยตรงคือ Nissan Qazana ที่กำลังจะเปิดตัวรุ่นผลิตเช่นกัน และถือว่าเป็นรถยนต์รุ่นแรกของ Mitsubishi ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 1.8 ลิตร แบบใหม่ พร้อมเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ variable geometry (VG) ที่ให้กำลัง 136 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร และเป็นไปได้สูงที่จะมีการใช้กล่องเกียร์ SST คลัทช์คู่ (เหมือนที่ใช้กับ EVO X) และระบบขับเคลื่อน 2 และ 4 ล้อ





การเปิดตัวของรถรุ่นนี้ในยุโรปจะมีขึ้นที่งาน Geneva Motor Show ในเดือนมีนาคมปีหน้า




ภาพประกอบที่ไม่ใช่ภาพสเก็ทช์คือ Mitsubishi Concept-cX ที่เป็นต้นแบบของรถ crossover ที่กล่าวถึง เท่าที่เห็น ถือว่ามีรูปโฉมใกล้เคียงกันมากๆครับ





สนับสนุนเนื้อหาโดย autospinn.com

BMW SIMPLE&CLEVER

BMW SIMPLE & CLEVER เพื่อโลกวันหน้า









บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปเดินหน้าโชว์สองนวัตกรรมพาหนะสำหรับเมืองใหญ่ที่พิพิธภัณฑ์บีเอ็มดับเบิลยู เพื่อแสดงให้เห็นถึงแนวคิดของการเดินทางสำหรับเมืองระดับ Mega City ที่มีประชากรมากกว่า 10 ล้านคน ซึ่งมุ่งเน้นที่ความคล่องตัวในการเดินทางและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน









Clever





CLEVER

Compact Low Emission VEhicle for uRban



โปรเจกต์ CLEVER เป็นความร่วมมือระหว่างบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปและมหาวิทยาลัยเทคนิคแห่งกรุงเบอร์ลิน โดยการสนับสนุนจากสหภาพยุโรป



คอนเซ็ปต์ของ CLEVER เป็นยานพาหนะสำหรับเมืองใหญ่ Mega City มี 2 ที่นั่งโดยคนขับนั่งด้านหน้าและผู้โดยสารนั่งด้านหลังคล้ายๆ กับการเรียงที่นั่งของรถมอเตอร์ไซค์ มี 3 ล้อ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์พลังงานก๊าซธรรมชาติ มีขนาดความยาว 3 เมตร กว้าง 1 เมตร และสูง 1.4 เมตร และมีน้ำหนักต่ำกว่า 400 กิโลกรัม ด้วยโครงสร้างตัวถังแบบ Space Frame ผลิตจากวัสดุอลูมิเนียมน้ำหนักเบา พร้อมด้วยเทคโนโลยีการทำมุมเอียงของตัวรถด้วยการควบคุมจากคอมพิวเตอร์ เพื่อให้การเอียงเข้าโค้งแบบรถมอเตอร์ไซค์ สามารถทำมุมสูงสุดได้ถึง 45 องศา















CLEVER เป็นอีกหนึ่งแนวคิดของยานพาหนะที่ผสมผสานข้อดีและจุดเด่นของรถยนต์และมอเตอร์ไซค์เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ความคล่องตัวของ CLEVER จะช่วยให้การเดินทางในเมืองขนาดใหญ่เป็นไปได้อย่างง่ายดายและปลอดภัย CLEVER ใช้เครื่องยนต์ 1 สูบขนาด 230 ซีซี ใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ ให้กำลังสูงสุด 12.5 กิโลวัตต์ และใช้เกียร์อัตโนมัติแบบ CVT สามารถเร่งจาก 0-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 7 วินาที ความเร็วสูงสุด 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสามารถวิ่งได้ไกล 200 กิโลเมตรจากถังจุเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ CNG Compressed Natural Gas จำนวน 2 ถังซึ่งแต่ละถังมีความจุ 1.7 กิโลกรัม



นอกจากเรื่องความประหยัดและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว วิศวกรของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปได้สร้าง CLEVER ให้มีความปลอดภัยสูงสุด ด้วยเทคโนโลยีโครงสร้างตัวถังแบบรถแข่งฟอร์มูล่าวันที่สามารถปกป้องผู้โดยสารได้อย่างยอดเยี่ยม แต่มีน้ำหนักเบาเพียง 60 กิโลกรัม อีกทั้งยังมีการออกแบบโครงสร้างด้านหน้า รวมถึงโครงสร้างของล้อหน้าและระบบพวงมาลัย ให้สามารถดูดซับแรงกระแทกในกรณีอุบัติเหตุดีเยี่ยม CLEVER ได้ผ่านมาตราฐานการทดสอบการชนของ Euro NCAP สำหรับรถยนต์ขนาดเล็ก ซึ่งรวมถึงการชนด้านหน้าที่ความเร็วถึง 56 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีระบบถุงลมนิรภัยด้วย








Simple





SIMPLE

a Sustainable and Innovative Mobility Product for Low Energy consumption.



SIMPLE เป็นพาหนะที่ผสมผสานข้อดีและจุดเด่นของรถยนต์และมอเตอร์ไซค์เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ห้องโดยสารของ SIMPLE เป็นแบบปิดเหมือนรถยนต์เพื่อให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกสบายทั้งในวันฝนตก แดดออก อากาศร้อน หรืออากาศหนาว อีกทั้งยังมีโครงสร้างที่ปลอดภัยกว่าเมื่อเทียบกับมอเตอร์ไซค์ ในขณะเดียวกัน SIMPLE ก็มีความคล่องตัวในการเดินทางเฉกเช่นมอเตอร์ไซค์ ด้วยตัวถังที่มีความกว้างเพียง 110 เซ็นติเมตรมี 2 ที่นั่งโดยคนขับนั่งด้านหน้าและผู้โดยสารนั่งด้านหลังคล้ายๆกับการเรียงที่นั่งของรถมอเตอร์ไซค์ เพียงแต่นั่งสบายเหมือนรถยนต์ อีกทั้งยังมีความปราดเปรียวคล่องตัวอย่างเหนือชั้นและสามารถเทโค้งเอียงตัวได้อย่างมอเตอร์ไซค์












วิศวกรของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างยานพาหนะที่มีขนาดเล็ก คล่องตัว น้ำหนักเบา และประหยัดพลังงาน โดยออกแบบให้ SIMPLE มีลักษณะที่ลู่ลมโดยอาศัยหลักการด้านอากาศพลศาสตร์ที่เหนือชั้น ทำให้ SIMPLE มีค่าสัมประสิทธ์แรงเสียดทานอากาศ Cd เพียง 0.18



นอกจากนี้ SIMPLE ยังมีนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีการสร้างสมดุลของพาหนะโดยอาศัยการเอียงของตัวถังคล้ายๆกับการเทโค้งของรถมอเตอร์ไซค์ ทั้งนี้ SIMPLE อาศัยระบบไฮดรอลิคที่ทำหน้าที่สั่งการทำมุมเอียงของตัวถังอย่างอัตโนมัติโดยผู้ขับเพียงขับตามปกติ ผู้ขับไม่ต้องเอียงตัวเหมือนการเทโค้งในการขับมอเตอร์ไซค์ นอกจากนี้ผู้โดยสารยังได้ประโยชน์จากระบบนี้อีกด้วย เพราะว่าไม่ต้องเกร็งตัวเพื่อต้านแรงเหวี่ยงหนีศูนย์ในการเข้าโค้ง เนื่องจากตัวรถจะทำมุมเอียงที่ถูกต้องเพื่อชดเชยแรงเหวี่ยงหนีศูนย์โดยอัตโนมัติ




SIMPLE ที่มีน้ำหนักเบาเพียง 450 กิโลกรัมขับเคลื่อนด้วยระบบมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ให้กำลังสูงสุดที่ 36 กิโลวัตต์ สามารถเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 10 วินาที และมีอัตราความประหยัดน้ำมันถึง 50 กิโลเมตรต่อลิตร
 เห็นอัตราการซดน้ำมันแล้วอยากได้มาขับตอนนี้จังเลย เอ แล้วเราจะต้องจดทะเบียนเป็นรถอะไรกันแน่ระหว่างมอเตอร์ไซค์หรือว่ารถนั่งส่วนบุคคล คอยดูตอนที่มันออกมาก็ได้เดี๋ยวก็รู้
ขอบคุณข้อมูลจาก ผู้จัดการออนไลน์

Volkswagen E-UP



Volkswagen E-UP รุกตลาดพลังไฟฟ้า

ถ้ายังจำกันได้ ในปี 2007 รถยนต์ต้นแบบที่ชื่อ UP! ของโฟล์คสวาเกนโด่งดังเอาเรื่อง เพราะต้นแบบรุ่นนี้ถูกกล่าวขวัญว่าผลผลิตของการปัดฝุ่นแนวคิดรถยนต์เพื่อประชาชนอย่างโฟล์คเต่าให้กลับมาสู่ตลาดอีกครั้ง แต่ผ่านมาถึง 2 ปี โปรเจ็กต์ UP! กับการขึ้นไลน์ผลิตจริงก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ออกมาให้ติดตาม จนกระทั่งในงานแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ 2009 เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา



ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ นอกจากจะมีการแย้มถึงการขึ้นไลน์ผลิตจริงแล้ว โฟล์คสวาเกนยังนำเสนอแนวทางใหม่ของการขับเคลื่อน พร้อมกับพื้นฐานใหม่ของตัวรถ ด้วยการจับเอารุ่น UP! ธรรมดามาแปลงร่างให้เป็น E-UP! ซึ่งตัว E ที่อยู่ข้างหน้าไม่ต้องอธิบายกันให้มากความ ก็พอทราบได้ลางๆ แล้วว่า มันคือรถยนต์พลังไฟฟ้า...ยานยนต์แห่งความหวังในการขับเคลื่อนสำหรับคนยุคหน้า




UP! เป็นรถยนต์ต้นแบบที่ได้รับการออกแบบเป็นฝีมือของวอลเตอร์ เดอ ซิลว่า หัวหน้าทีมออกแบบของโฟล์คสวาเกน กรุ๊ป และเคลาส์ บิสคอฟฟ์ หัวหน้าทีมออกแบบของแบรนด์โฟล์คสวาเกน และเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ UP! ถูกคาดหมายว่าจะเป็นโปรเจ็กต์ในลักษณะเดียวกับโฟล์คเต่าคือ รูปแบบเลย์เอาท์ของตัวรถที่มาในแบบเครื่องยนต์วางด้านท้ายและขับเคลื่อนล้อหลัง





แถมต้นแบบ 2 รุ่นแรกยังใช้เครื่องยนต์บ็อกเซอร์แบบสูบนอนเหมือนกันอีกต่างหาก โดยเวอร์ชันแรกที่เปิดตัวปี 2007 นั้น UP! ถูกผลิตออกมาถึง 3 เวอร์ชัน คือ แฮทช์แบ็ก 3 ประตูที่มีความยาว 3.45 เมตร (แฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์) ตามด้วย 5 ประตูในชื่อ Space UP! ที่ตัวถังถูกขยายความยาวเป็น 3.68 เมตร (โตเกียว มอเตอร์โชว์) และ Space UP! Blue กับตัวถังทรงแวนพร้อมหลังคาที่วางแผงโซลาร์เซลล์เอาไว้ (แอลเอ มอเตอร์โชว์)













สำหรับ E-UP! ใช้ตัวถังของรุ่น 3 ประตูมาเป็นแม่แบบการพัฒนา และออกแบบรายละเอียดภายในห้องโดยสารรูปแบบ 3+1 ซึ่งเบาะหลังสามารถเลือกพับได้อย่างอเนกประสงค์ว่าจะรองรับผู้ขับและผู้โดยสารรวม 4 ที่นั่ง หรือว่าพับเบาะนั่งลง 1 ตัวเพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับบรรทุกสัมภาระ และที่สำคัญตัวรถถูกลดความยาวจากรุ่นเดิมซึ่งอยู่ที่ 3.45 เมตรลงมาอยู่ที่ 3.19 เมตรเท่านั้น และแน่นอนว่า โฟล์คสวาเกนยืนยันว่านี่ไม่ใช่ผลงานย้อนยุค แต่เป็นรถยนต์ขนาดเล็กสำหรับครอบครัวรุ่นใหม่ หรือ New Small Family














นอกจากนั้นแนวทางในการพัฒนาตัวรถยังแตกต่างจากแนวคิดดั้งเดิมของต้นแบบรุ่นแรก เพราะว่าโฟล์คสวาเกนตั้งใจให้ E-UP! เป็นรถยนต์ขนาดเล็กรุ่นใหม่ราคาประหยัดเพื่อหวังแทนที่รุ่นลูโป (Lupo) ซึ่งเป็นรถยนต์รุ่นเล็กสุดที่โฟล์คสวาเกนมีขายอยู่ในตลาดตอนนี้ แถมยังปรับเลย์เอาท์ของตัวรถจากเดิมเป็นแบบเครื่องวนต์วางท้ายขับเคลื่อนล้อหลัง มาเป็นแบบเครื่องยนต์วางด้านหน้าขับเคลื่อนล้อหน้า เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพตลาดที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน



มอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ในการขับเคลื่อนล้อหน้ามีการผลิตกำลังสูงสุดที่ 60 กิโลวัตต์ และถ้าเป็นกำลังที่ถูกส่งออกมาแบบคงที่และต่อเนื่องจะมีตัวเลขสูงสุดที่ 40 กิโลวัตต์ ส่วนแรงบิดสูงสุดอยู่ในระดับ 21.4 กก.-ม. พร้อมเกียร์แบบจังหวะเดียว ซึ่งสามารถเลือกตำแหน่งเกียร์ด้วยการบิดปุ่มหมุนจากตำแหน่งเกียร์ว่างว่าจะ ‘เดินหน้า’ หรือ ‘ถอยหลัง’ พร้อมระบบกันสะเทือนหน้าแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบกึ่งอิสระ












ด้วยน้ำหนักที่เบาเพียง 1,085 กิโลกรัม สมรรถนะเรื่องการออกตัวช่วง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง จึงอยู่ในระดับที่ดีพอสมควร ใช้เวลา 11.3 วินาที และ 3.5 วินาทีสำหรับอัตราเร่ง 0-50 กิโลเมตร/ชั่วโมง และทำความเร็วสูงสุด 135 กิโลเมตร/ชั่วโมง



สำหรับแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไออนมีน้ำหนัก 240 กิโลกรัมและวางอยู่ด้านใต้ของตัวรถโดยมีการปกป้องรอบด้านจากการชน หรือ อยู่ใน Crash-protectedTray มีกำลังขนาด 18 kWh และเมื่อชาร์จกระแสไฟฟ้าจนเต็มสามารถแล่นทำระยะทางได้ 130 กิโลเมตร

ตัวรถมีโหมด Quick Charge ซึ่งใช้เวลา 1 ชั่วโมงในการชาร์จแบตเตอรี่ด้วยไฟขนาด 230 โวลต์จนขยับขึ้นมาอยู่ในระดับ 80% หรือแล่นทำระยะทางได้ประมาณ 104 กิโลเมตร แต่ถ้าอยากชาร์จจนเต็มก็ใช้เวลา 5 ชั่วโมง และจากการคำนวณของทีมวิศวกรของโฟล์คสวาเกน E-UP! มีค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพียง 2 ยูโร หรือ 100 บาทต่อ 100 กิโลเมตร หรือกิโลเมตรละ 1 บาท











ข่าวดีสำหรับแฟนโฟล์คสวาเกนคือ UP! กำลังจะผลิตขายแน่นอน โดยการเปิดตัวรุ่นจำหน่ายจริงจะมีขึ้นในปี 2011 ส่วนรายละเอียดทางเทคนิคโดยเฉพาะเครื่องยนต์ที่ทำตลาดยังไม่มีการเปิดเผย ซึ่งการเปิดตัวของ UP! จะถูกเป็นการลุยตลาดไมโครคาร์ในยุโรปเพื่อปะทะกับโตโยต้า iQ ส่วนรุ่นพลังไฟฟ้ามีขายแน่นอนเช่นกัน แต่จะต้องรอไปอีกสักระยะ เพราะการเริ่มทำตลาดจะมีขึ้นในปี 2013 โน่น


ขอบคุณข้อมูลจาก ผู้จัดการออนไลน์

Maserati Kuba

Maserati Kuba งานออกแบบรถ SUV สุดหรู ดูคล้าย Dodge Razor

ภาพที่เห็นไม่ใช่รถแนวคิดหรือ concept car ของรถ SUV หรือ Crossover จากค่าย Maserati นะครับ แต่มันคือ Maserati Kuba ภาพกราฟฟิคงานออกแบบรถในจินตนาการของนักออกแบบอิสระชาวรัสเซียที่ชื่อ Andrey Trofimchuk ซึ่งรูปลักษณ์ที่ออกแบบขึ้นมานี้ ต้องยอมรับว่าสวยหรูดูเข้ากับยี่ห้อ Maserati จนอยากจะให้ Maserati นำโฉมแบบนี้ไปผลิตรถขึ้นมาจริงๆ แต่ถ้าใครที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของ Dodge แล้วละก็ อาจจะทำให้รู้สึกคุ้นๆกับด้านหน้าของรถคันนี้ เพราะด้านหน้าช่างดูคล้ายกับรถแนวคิด Dodge Razor ปี 2002 ตามที่ผมนำภาพมาประกอบให้ชมใน gallery ชุดที่ 2 ด้านล่างครับ








เป็นอย่างงัยครับ ดูโหดๆ แบบดูดียังงัยก็ไม่รู้ครับบอกไม่ถูกเลยครับ เอาเป็นว่าสรุปเลยก็แล้วกันครับว่าแจ่มมากจริงครับ แต่ว่ารายละเอียดนั้นยังไม่มีครับดูแค่รูปไปก่อนก็แล้วกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.autospinn.com/

Friday, December 4, 2009

สวัสดีครับ












ขอแนะนำตัวนิดนึงนะครับ แบบว่าในยุคปัจจุบันนี้ความต้องการ การใช้รถของคนเรานี่นับวันจะสูงขึ้นทุกปีๆ ครับ ก็ดูได้จากยอดจองรถใหม่ในงาน motor show ในแต่ละปีครับ แต่ก็อย่างว่าแหละครับ รถใหม่ขับไปไม่กี่วันก็กลายเป็นรถเก่าไปเสียแล้วในเวลานี้ เพราะอะไรนะหรือครับก็เพราะว่าเทคโนโลยีมันพัฒนากันไปได้เร็วมากครับ แต่ละยี่ห้อแต่ละค่ายต่างก็พยายามเข็ญจุดเด่นของค่ายตัวเองออกมาขายได้ทุกๆ 3 เดือน 6 เดือน และก็ขายไปได้เรื่อยๆ จนกว่าคนจะเริ่มเบื่อ [ยอดขายตก] หรือว่าเพื่อนบ้านกำลังจะออกสินค้าตัวใหม่ ก็จะต้องงัดเอาเทคโนโลยีที่ตัวเองเก็บเอาไว้ออกมาขาย และก็จะไม่นำเอาออกมาทั้งหมดครับ ลองสังเกตุดูดีๆนะครับ รถรุ่นใหม่บางยี่ห้อ เปิดตัวพร้อมจุดเด่นใหม่ของรถเพียงอย่างเดียวก็ขายได้แล้ว เช่นเครื่องยนต์ลูกใหม่ แต่ทุกอย่างยังเหมือนเดิม หรือระบบช่วงล่างใหม่ หรือระบบไฟฟ้าใหม่เป็นต้น และหลังจากนั้นก็จะใช้รถบอดี้เดิมนี่แหละแต่ค่อยๆ ทยอยใส่ไอ้โน่นใส่ไอ้นี่ไปเรื่อยๆ ซัก4-5 ปีก่อนที่จะทำรุ่นใหม่จริงๆออกมา บางรุ่นใช้บอดี้เดิมเป็น 10 ปีก็มีครับ แค่เพิ่มลูกเล่นใหม่ๆ เข้ามาทุกปีๆ แค่นี้ก็เหมือนทำรถใหม่ขายทุกปีแล้วครับ แต่ว่ารถที่เราจะเอามาพูดมาคุยกันในที่นี้คงจะไม่ใช่รถตลาดอย่างที่เราๆท่านๆใช้กันอยู่อย่างแน่นอน[ถ้ามองหาข้อมูลของรถตลาดให้ไปที่ http://thaicarlover.blogspot.com/ ] เราจะมาดูความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการผลิตรถยนต์ว่าเขาสามารถทำกันไปได้ถึงไหนแล้ว แต่ไม่กล้าที่จะเอามาทำขาย เพราะว่าเทคโนโลยียังมีราคาแพงอยู่ ต้องคอยให้มันถูกลงกว่านี้ก่อน แล้วจะเอามาอวดกันให้น้ำลายไหลเล่นทำไมว่ะ เออช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าเรามาดูกันแค่เป็นการประดับความรู้ว่ามันมีความเป็นไปได้จริงแท้แค่ไหน และอีก10-20ปีข้างหน้าถ้ามันมีออกมาขายได้จริง คุณจะเลือกคันไหนดีครับ











เอาล่ะคับวันนี้ฝากไว้แค่นี้ก่อน แล้ววันต่อไปเราจะมาคุยเกี่ยวกับ concept car แต่ละคันแต่ละค่ายและรายละเอียดว่ามันมีความพิเศษอย่างไร